ทำเงินก้อนโต :โลกในมุมมองของ Value Investor

ทำเงินก้อนโต

            โลกในมุมมองของ Value Investor           
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

         Value Investor นั้นก็เหมือนกับคนในวงการอื่น ๆ   ที่มีทั้งนักลงทุนประเภท Aggressive หรือพวกที่  “ก้าวร้าว”  กล้าได้กล้าเสีย  ทำงานหนัก  หนุ่มแน่น  ซึ่งในบางช่วงบางสถานการณ์  อย่างเช่นในช่วงนี้  สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ  หลายคนกลายเป็นเศรษฐีในเวลาไม่นาน  กับอีกกลุ่มหนึ่งหรือที่จริงควรเรียกว่าอีกปีกหนึ่งที่เป็น VI ประเภท  Conservative หรือนักลงทุนแนวอนุรักษ์นิยมที่เน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นหลัก  ไม่ชอบอะไรที่หวือหวาและอันตราย  คนในกลุ่มนี้ชอบลงทุนในกิจการที่มีความแน่นอนของผลประกอบการของบริษัทแม้ว่า กิจการจะโตช้าและหลายกิจการอาจจะใกล้ที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน  เกือบทั้งหมดชอบหุ้นถูกแม้ว่ามันจะถูกมานาน  พวกเขามักจะเป็นคนที่มีอายุมากกว่าพวกแรกและหลายคนมีเงินไม่มากและเหลือ เฟือที่จะกล้าเสี่ยง  ผลตอบแทนการลงทุนของพวกเขาดูเหมือนว่าจะไปแบบเนิบ ๆ  ไม่หรูหราและอาจจะไม่เลวร้ายไม่ว่าในสถานการณ์ไหน

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ  ถ้าเราจะเป็น VI แบบ Aggressive นั้น  หุ้นประเภทไหนที่เราจะเล่น  หุ้นอะไรที่จะ  “ทำเงินก้อนโต” ให้เราได้

         หุ้นกลุ่มแรกก็คือ  หุ้นของกิจการที่มีผลประกอบการที่เป็นวัฎจักรรุนแรง  นี่คือผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์  เช่น  ปิโตรเคมีต่าง ๆ   การเดินเรือและการบิน  ผลิตภัณฑ์การเกษตรโดยเฉพาะที่หาสินค้าทดแทนได้ยากเช่น ยางพาราและไก่   นอกจากนี้  ยังมีสินค้าที่ไม่ได้เป็นโภคภัณฑ์แต่ก็มีวัฎจักรที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าคงทนที่คนสามารถเลื่อนการซื้อออกไปได้เช่น  รถยนต์และบ้าน  เป็นต้น  การลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฎจักรนี้  เราต้องรู้ว่าวัฎจักรกำลังเป็น  “ขาขึ้น” ในขณะที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาวะที่กำลังจะเกิดขึ้น   แน่นอนว่าการคาดการณ์ในเรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย  แต่ถ้าทำได้ถูกต้อง  บ่อยครั้งจะได้กำไรงดงาม  บางทีหุ้นขึ้นไปหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน  ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ  นี้ทำให้ VI ที่เน้นการลงทุนในหุ้นวัฎจักรร่ำรวยไปหลายคน   อย่างไรก็ตาม  ในเรื่องของการลงทุนนั้น  อะไรที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว  คนที่มา “ทำซ้ำ”  อาจจะช้าเกินไป
          หุ้นกลุ่มที่สองคือ  หุ้นเล็กที่ไม่มีใครเหลียวแล  บางคนเรียกว่า  “หุ้นเงา”  นี่คือหุ้นที่มีขนาดค่อนข้างจะเล็กคืออาจจะมี  Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทไม่ถึงพันล้านบาท   แต่เป็นกิจการที่มีผลประกอบการที่กำลังดีขึ้นอย่างมากในระยะอาจจะสองสามปี ข้างหน้า  และบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทำอยู่  อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ  หุ้นเหล่านี้ที่จะวิ่งพรวดได้นั้นมักจะต้องมี  “สปอนเซอร์” หรือถ้าจะใช้ภาษาการแข่งม้าก็คือ  จะต้องมี “จ็อคกี้”  ที่จะ “กระตุ้น”  ให้หุ้นวิ่งไปได้มาก ๆ  ซึ่งหนึ่งในนั้นมักจะต้องรวมถึงเจ้าของบริษัทที่จะต้องออกมา “เชียร์”  หุ้นสม่ำเสมอ  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นเงาแบบนี้  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกจากผลประกอบการแล้ว  จะต้องดูว่าในที่สุดจะมีใครเป็น “คนนำ”  ในการขับเคลื่อนหุ้น
         หุ้นกลุ่มที่สามก็คือ  หุ้น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  นี่คือหุ้นที่เคยเป็น “นางฟ้า”  ของนักลงทุน  เป็นหุ้นที่เคยร้อนแรง  ราคาปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้นและเหตุผลที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก นั้นเป็นเพราะบริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเติบโตมาก  นักลงทุนคาดหวังบริษัทไว้สูงมากและให้ราคาหุ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานกลับไม่เป็นไปตามที่คาดด้วยเหตุผลต่าง ๆ  นานา  สร้างความผิดหวังและทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้งอย่าง “บ้าคลั่ง”  เช่นเดียวกับในตอนที่เข้าซื้อหุ้น  ผลก็คือ  ราคาหุ้นตกต่ำมาติดดิน  ประเด็นสำคัญในการซื้อหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็คือ  เราจะต้องเห็นว่าบริษัทจะกลับมาเป็น  “นางฟ้า”  มีผลงานโดดเด่นได้เหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมและราคาหุ้นนั้นต่ำมาก  เราไม่ต้องการซื้อหุ้นเพียงเพราะราคามันตกลงมามาก  เราไม่ต้องการนางฟ้าที่  “ตกนรก” ไปแล้ว
          กลุ่มที่สี่  หุ้นฟื้นจากภาวะล้มละลายหรือปัญหารุนแรงทางการเงินและธุรกิจ  และจะต้องมีมูลค่าหุ้นต่ำมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินหรือขนาดของกิจการ  การที่จะทำเงินก้อนโตจากหุ้นกลุ่มนี้นั้น  จะต้องมั่นใจว่าเจ้าหนี้พร้อมที่จะยอมรับการปรับโครงสร้างหนี้และบริษัทมีคน สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อกอบกู้บริษัท  การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง  อย่างไรก็ตาม  ผลตอบแทนถ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องก็สูงมากเช่นเดียวกัน
         กลุ่มที่ห้า  หุ้นบลูชิพที่มีราคาตกต่ำลงมากเนื่องจากปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นครั้ง เดียว  หรือตกต่ำลงเพราะปัญหาของภาพรวมเศรษฐกิจการเงิน  นี่คือหุ้นของกิจการที่ใหญ่โต  มั่นคง  เก่าแก่ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องยาวนาน  มีฐานะทางการตลาดที่มั่นคงมาช้านานและแทบไม่มีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาแข่ง ขัน  หุ้นเหล่านี้มักจะโตช้า ๆ  แต่จ่ายปันผลในอัตราที่น่าพอใจ  ดังนั้น  เมื่อเกิดสถานการณ์ที่หุ้นตกลงมาอย่างแรงเช่น  อาจจะ 30-40%  จากราคาปกติ  การลงทุนในหุ้นแบบนี้ก็จะให้ผลตอบแทนมากด้วยความเสี่ยงต่ำ  อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ก็มีไม่มากนัก
กลุ่มที่หก  หุ้นซุปเปอร์สต็อก นี่คือการลงทุนในหุ้นที่มีคุณสมบัติ  “สุดยอด”  ในเกือบทุกด้านในขณะที่จุดอ่อนมีน้อย  นั่นก็คือ เป็นกิจการที่เติบโตเร็วและจะเติบโตขึ้นไปอีกมากจากจุดที่เห็น  การเติบโตนั้นเป็นการเติบโตที่หาคู่แข่งมาขัดขวางได้ยาก  เส้นทางการเติบโตนั้นชัดเจนและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำได้  ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเช่นเดียวกับการตลาดที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน หรือมี Durable Competitive Advantage  หุ้นซุปเปอร์สต็อกนี้  ถ้าเลือกถูกต้องแล้ว  ก็สามารถทำเงินก้อนโตได้ยาวนาน  แต่ผลตอบแทนจะดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นถ้าสามารถซื้อได้ในช่วงต้น ๆ  ที่คนยังไม่ได้ตระหนักถึงสถานะของบริษัทหรือซื้อในช่วงที่มันประสบปัญหา บางอย่างทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าปกติ
          ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงหุ้นบางกลุ่มที่สามารถทำเงินก้อนโตให้กับ VI ได้  อย่างไรก็ตาม  แต่ละกลุ่มที่กล่าวถึงนั้นก็มี “ดีกรี” การทำเงินมากน้อยต่างกันอยู่บ้าง  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเรื่องของความเสี่ยง  ซึ่งก็ยังแบ่งออกเป็นสองด้านคือ  ความเสี่ยงที่การวิเคราะห์อาจจะผิดพลาดและความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะตกลงมามาก หรือน้อยถ้าเราวิเคราะห์ผิดหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป  ดังนั้น  คนที่รักหรือเลือกที่จะเป็น VI ที่ Aggressive จะต้องระมัดระวังและจะต้องประเมินศักยภาพหรือฝีมือของตนเองให้ดีว่าเราจะ เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน

ที่มา: ThaiVI.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โลกของศิลปิน : thaivi.com

หนังสือน่าอ่าน(Good Book)