สรุปผลแบบสอบถามนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2554 (แถลงข่าว 13 ก.ค. 54)
สรุปผลแบบสอบถามนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2554
(แถลงข่าว 13 ก.ค. 54)
นักวิเคราะห์เชียร์รถไฟฟ้า และลดภาษีบริษัท, ค้านค่าแรง 300, ป.ตรี หมื่นห้า และเลิกกองทุนน้ำมัน
นักวิเคราะห์ถึง 90% มีความมั่นใจความมั่นคงของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ในระดับปานกลางขึ้นไป และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการรถไฟฟ้า,รถไฟความเร็วสูง และนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่คัดค้านนโยบายกระชากค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ป.ตรีหมื่นห้า และการยกเลิกกองทุนน้ำมัน
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด พบว่า ปัจจัยบวกสำคัญมาจากสถานการณ์การเมืองที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงมากขึ้น แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และเอเซีย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ การอุปโภคบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น ซึ่ง นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 54 ที่เฉลี่ย 4.3% และปี 55 ที่เฉลี่ย 4.7% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 54 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 16.7% นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มดัชนีหุ้น ณ สิ้นปี 54 เป็นเฉลี่ย 1,197 จุด จากประเมินครั้งก่อนในเดือนเมษายนที่ 1,181 จุด โดยประเมินจุด สูงสุดครึ่งปีหลังที่เฉลี่ย 1,221 จุด ต่ำสุดที่เฉลี่ย 995 จุด
ข้อเสนอนโยบายที่นักวิเคราะห์แนะภาครัฐดำเนินการ ได้แก่ นโยบายด้านภาษี นโยบายด้านการศึกษา และนโยบายด้านแรงงาน พร้อมแสดงความเห็นต่อคุณสมบัติที่เหมาะสมของรัฐมนตรีว่า ควรมีความรู้และการศึกษาสอดคล้องกับกระทรวงที่จะเข้ามาทำหน้าที่ รวมทั้งเคยมีประวัติการทำงานน่าเชื่อถือและประสบความสำเร็จ
มีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นโดยรวม 20 แห่ง ได้ผลสำรวจดังนี้
สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (มีผู้ตอบ 20 แห่ง)
• ปัจจัยบวก
1) สถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงความมั่นคงของรัฐบาลและความเชื่อมั่นทางการเมืองและ นโยบายของรัฐบาล 55% ของผู้ตอบ
2)แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และเอเชีย 45% ของผู้ตอบ
3)นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ 35% ของผู้ตอบ
4)การอุปโภคบริโภคและการใช้จ่าย/การลงทุนของภาคเอกชน 35% ของผู้ตอบ
5)ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ขยายตัว 25% ของผู้ตอบ
• ปัจจัยลบ
1)ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป 65% ของผู้ตอบ
2)อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 55% ของผู้ตอบ
3)สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน 45% ของผู้ตอบ
4)เศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง 35% ของผู้ตอบ
5)ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น 30% ของผู้ตอบ
ความมั่นใจเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ (มีผู้ตอบ 20 แห่ง)
· มั่นใจมาก 30 % ของผู้ตอบ
· มั่นใจปานกลาง 60% ของผู้ตอบ
· มั่นใจน้อย 10% ของผู้ตอบ
ความเห็นต่อนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ โดยพิจารณาจากความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและการคลัง
นโยบาย | เห็นด้วย (%) | ไม่เห็นด้วย (%) | ไม่มีความเห็น (%) | คำอธิบายเพิ่มเติม |
· ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท | 20 | 60 | 20 | ทำให้ต้นทุนเพิ่ม เสนอให้ทยอยปรับให้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ |
· เงินเดือนเริ่มต้น ป.ตรี 15,000 บ. | 25 | 65 | 10 | เสนอให้เป็นไปตามความรู้ความสามารถและกลไกตลาด |
· ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% และปีต่อไปเหลือ 20% | 80 | 20 | 0 | เป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชน แต่ควรระวังการขาดดุลงบประมาณ |
· จำนำข้าว+เครดิตการ์ดเกษตรกร | 17 | 58 | 25 | เกรงจะเป็นภาระรัฐบาลมากเกินไป |
· ระบบป้องกันน้ำท่วมภาคกลาง & กทม | 80 | 15 | 5 | เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมเนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ |
· ยกเลิกกองทุนน้ำมัน | 20 | 65 | 15 | เกรงจะเกิดปัญหาหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก และรัฐบาลอาจต้องเข้ามาแบกรับภาระ |
· รถไฟฟ้า 10 สาย | 90 | 10 | 0 | เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม |
· รถไฟความเร็วสูงเชื่อมเมืองสำคัญ | 100 | 0 | 0 | เป็นบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และช่วยลดต้นทุนการขนส่ง |
· รถไฟรางคู่ | 100 | 0 | 0 | เป็นบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และช่วยลดต้นทุนการขนส่ง |
· แลนด์บริดจ์ภาคใต้ | 55 | 5 | 40 | ควรระวังเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย |
· บ้านหลังแรก ทยอยคืนภาษีให้ | 50 | 50 | 0 | ควรระวังว่าอาจเป็นการกระตุ้นการบริโภคมากเกินตัวได้ |
· รถคันแรก ทยอยคืนภาษีให้ | 40 | 60 | 0 | ควรระวังว่าอาจเป็นการกระตุ้นการบริโภคมากเกินตัวได้ |
ความเห็นต่อแนวทางการหารายรับเพิ่มเติมในอนาคตหากรัฐบาลขาดดุลมาก
แนวทาง | จำนวนผู้ตอบ (คน) | เห็นด้วย (%) | ปานกลาง (%) | ไม่เห็นดวย (%) | คำอธิบายเพิ่มเติม |
· เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม | 20 | 25 | 20 | 55 | ควรรอให้เศรษฐกิจดีและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำก่อน |
· เพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลกลับขึ้นไป | 20 | 10 | 35 | 55 | ควรคำนึงถึงผลกระทบในภาพรวมด้วย |
· เพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา | 20 | 5 | 15 | 80 | - |
แนวทาง | จำนวนผู้ตอบ (คน) | เห็นด้วย (%) | ปานกลาง (%) | ไม่เห็นดวย (%) | คำอธิบายเพิ่มเติม |
· เพิ่มภาษีสรรพสามิต | 19 | 79 | 16 | 5 | เพิ่มสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าบาป (เหล้า บุหรี่ เป็นต้น) สินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เป็นต้น |
· เพิ่มภาษีศุลกากร | 19 | 42 | 21 | 37 | เพิ่มสำหรับสินค้าบาป และสินค้าฟุ่มเฟือย |
· เพิ่มภาษีอื่นๆ | 8 | 63 | 13 | 25 | เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น |
· ไม่เพิ่มภาษีแต่หาทางลดรายจ่ายแทน | 18 | 22 | 50 | 28 | หากลดการคอร์รัปชั่นได้ ก็เสมือนมีรายได้เพิ่มแล้ว |
· ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ | 19 | 58 | 21 | 21 | การขายหุ้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจด้วย โดยอาจพิจารณาเลือกทำเป็นบางแห่ง |
· หวยบนดิน หวยออนไลน์ | 1 | 100 | 0 | 0 | - |
ข้อเสนอใหม่ ให้รัฐบาล นำไปดำเนินการ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศไทย (มีผู้ตอบ 17 แห่ง)
1. นโยบายด้านภาษี โดยปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ผลักดันภาษีที่ดิน/ ภาษีมรดก 41% ของผู้ตอบ
2. นโยบายด้านการศึกษา โดยวางรากฐานการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง พัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมให้มีการคิดอย่างเป็นระบบ พัฒนาศูนย์ความรู้ไปยังภูมิภาคสนับสนุนเงินเพื่อการศึกษา เป็นต้น 35% ของผู้ตอบ
3. นโยบายด้านแรงงาน โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบ ประกันสังคม ปรับค่าแรงขั้นต่ำแบบค่อยเป็นค่อยไป 24% ของผู้ตอบ
ความเห็นต่อคุณสมบัติที่เหมาะสมของรัฐมนตรี (มีผู้ตอบ 20 แห่ง) นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักของคุณสมบัติแต่ละข้อดังนี้
คุณสมบัติ | มาก (%) | ปานกลาง (%) | น้อย (%) |
· ความรู้และการศึกษาสอดคล้องกับกระทรวงที่จะเข้าทำหน้าที่ | 85 | 15 | 0 |
· ประวัติดีมีความน่าเชื่อถือ | 80 | 15 | 5 |
· เคยมีผลการทำงานในอดีตที่ประสบความสำเร็จ | 65 | 30 | 5 |
· เคยมีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่จะเข้าทำหน้าที่ | 60 | 30 | 10 |
· เป็น สส.ที่มีคะแนนเลือกตั้งดี, มีกลุ่ม สส. สนับสนุนมาก | 15 | 15 | 70 |
ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของค่าเงินบาทขณะนี้
(มีผู้ตอบ 20 แห่ง)
1. เหมาะสม 60% ของผู้ตอบ
2. แข็งเกินไปเล็กน้อย 20% ของผู้ตอบ
3. อ่อนเกินไป 20% ของผู้ตอบ
4. แข็งเกินไปมาก ไม่มีผู้ตอบข้อนี้
ทั้งนี้ ระดับที่นักวิเคราะห์ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เสนอแนะอยู่ที่เฉลี่ย 30.14 บาทต่อเหรียญ สรอ. เนื่องจากเป็นระดับที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย
คาดการณ์การซื้อขายสุทธิจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันในประเทศ ในช่วง 1 ก.ค.- 30 ธ.ค.54
· ปี 2554 (มีผู้ตอบ 14 แห่ง)
- คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะซื้อสุทธิในครึ่งปีหลัง เฉลี่ย 34,571 ล้านบาท
- คาดว่านักลงทุนสถาบันในประเทศจะซื้อสุทธิในครึ่งปีหลัง เฉลี่ย 18,286 ล้านบาท
ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ
• ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index ในครึ่งปีหลังของปี 2554 คาดว่าจะเคลื่อนตัวในกรอบ 995 ถึง 1,221 จุด และเมื่อถึงสิ้นปีจะปิดตลาดที่ 1,197 จุด เทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนคาดไว้ที่ 1,181 จุด
• อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth
- ของปี 2554 นักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4.3 % ใกล้เคียงกับประเมินครั้งที่แล้วที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.4%
- ของปี 2555 นักวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2555 เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4.7%
• ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth โดยใช้สมมติฐานภาษีใน ปี 2555 ที่ 30%
- ทั้งปี 2554 คาดการณ์มีการเติบโต เฉลี่ยที่ 16.7% สูงกว่าประเมินครั้งที่แล้วที่คาดไว้ 13.8%
- ทั้งปี 2555 คาดการณ์จะขยายตัวเฉลี่ยที่ 13.2% (ใช้สมมติฐานภาษีนิติบุคคลยังอยู่ที่ 30%)
• อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2554 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สรอ. ใกล้เคียงกับประเมินครั้งที่แล้วที่คาดไว้ 29.6 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
- ณ สิ้นปี 2555 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 29.3 บาทต่อดอลลาร์สรอ.
• อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน
- ณ สิ้นปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 54 เฉลี่ย 3.6% สูงกว่าผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งประเมินไว้ที่ 3.2%
- ณ สิ้นปี 2555 คาดว่าอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 55 เฉลี่ยอยูที่ 4.1%
• ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI)
- เฉลี่ยทั้งปี 2554 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.0% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 3.7%
- เฉลี่ยทั้งปี 2555 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.9%
• ราคาทองคำ
- ณ สิ้นปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินราคาทองคำ ณ สิ้นปี 54 เฉลี่ยที่ 22,772 บาทต่อบาททองคำ
- ณ สิ้นปี 2555 คาดว่าราคาทองคำ ณ สิ้นปี 55 เฉลี่ยอยู่ที่ 23,800 บาทต่อบาททองคำ
ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ ปี 2554 และ ปี 2555
ค่าเฉลี่ย | จำนวนสำนักวิจัยที่ตอบ | ||||
สำรวจ ณ 7 เมย.54 | สำรวจ ณ 13 กค.54 | สำรวจ ณ 7 เมย.54 | สำรวจ ณ 13 กค.54 | ||
SET Index | |||||
- ณ สิ้นปี 54 | 1,181 | 1,197 | 19 | 19 | |
- จุดสูงสุดของปี 54 ของครึ่งปีหลัง | 1,232 | 1,221 | 19 | 17 | |
- จุดต่ำสุดของปี 54 ของครึ่งปีหลัง | 926 | 995 | 19 | 17 | |
GDP Growth | |||||
- ปี 54 | 4.4 | 4.3 | 21 | 19 | |
- ปี 55 | 4.8 | 4.7 | 16 | 19 | |
EPS Growth (สมมติฐานภาษีที่ 30%) | |||||
- ปี 54 | 13.8 | 16.7 | 21 | 19 | |
- ปี 55 | 13.9 | 13.2 | 17 | 18 | |
FOREX (Bht:US$) | |||||
- สิ้นปี 54 | 29.6 | 29.7 | 21 | 19 | |
- สิ้นปี 55 | 29.0 | 29.3 | 15 | 15 | |
ดอกเบี้ย RP 1 วัน | |||||
- สิ้นปี 54 | 3.2 | 3.6 | 21 | 19 | |
- สิ้นปี 55 | 3.8 | 4.1 | 16 | 15 | |
CPI เฉลี่ย | |||||
- ทั้งปี 54 | 3.7 | 4.0 | 20 | 19 | |
- ทั้งปี 55 | 3.6 | 3.9 | 15 | 17 | |
ราคาทองคำ | |||||
- สิ้นปี 54 | - | 22,772 | - | 9 | |
- สิ้นปี 55 | - | 23,800 | - | 6 |
คาดการณ์ EPS Growth (%) และ Dividend Yield (%) ปี 2554 และ ปี 2555 แยกตามกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจ | ปี 2554 | ปี 2555 | ||
EPS Growth (%) (ค่าเฉลี่ย) | Dividend Yield (%) (ค่าเฉลี่ย) | EPS Growth (%) (ค่าเฉลี่ย) | Dividend Yield (%) (ค่าเฉลี่ย) | |
โรงแรม | 220.23 | 1.90 | 7.39 | 2.13 |
ปิโตรเคมี | 81.61 | 3.33 | 11.87 | 3.67 |
อาหาร | 32.68 | 3.86 | 9.32 | 4.19 |
ธนาคาร | 21.22 | 3.00 | 12.94 | 3.51 |
พลังงาน | 20.00 | 3.75 | 10.51 | 4.15 |
อสังหาฯ | 17.85 | 3.86 | 8.76 | 5.05 |
สื่อสาร | 5.31 | 7.15 | 10.67 | 6.35 |
วัสดุก่อสร้าง | 3.36 | 3.99 | 11.67 | 4.51 |
ชิ้นส่วนอิเล็กฯ | -5.28 | 5.51 | 12.85 | 6.12 |
เดินเรือ | -33.21 | 2.68 | 48.39 | 3.59 |
• อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2554 และ ปี 2555
- ปี 2554 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มโรงแรม คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 220.23 %
2. กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 81.61 %
3. กลุ่มอาหาร เติบโตเป็นอันดับสามที่เฉลี่ย 32.68 %
- ปี 2555 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มเดินเรือ คาดเติบโตเฉลี่ย 48.39 %
2. กลุ่มธนาคาร เติบโตเป็นอันดับสองที่เฉลี่ย 12.94 %
3. กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เติบโตเป็นอันดับสามที่เฉลี่ย 12.85 %
• อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2554 และปี 2555
- ปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 7.15 %
2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 5.51 %
3. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าอยู่ที่ 3.99 %
- ปี 2555 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ
1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.35 %
2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.12 %
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าอยู่ที่ 5.05 %
คำแนะนำในการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ (มีผู้ตอบ 16 แห่ง) ได้ค่าเฉลี่ยดังนี้
สินทรัพย์ลงทุน | สัดส่วนการลงทุน (%) |
หุ้นสามัญและกองทุนหุ้นในประเทศ | 54 |
ทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส | 13 |
ตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ | 19 |
เงินสดและเงินฝาก | 11 |
อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์, น้ำมัน (กองทุน), สินค้าเกษตร เป็นต้น | 3 |
รวม | 100 |
คำแนะนำแก่นักลงทุน
สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราเงินปันผลสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ มีสถานะการเงินดี หนี้สินต่ำ โดยทยอยสะสมในช่วงตลาดปรับฐานและราคาหุ้นอ่อนตัว เลือกลงทุนในหุ้นที่รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ ควรศึกษาข้อมูลหุ้นที่จะเข้าลงทุน และติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งติดตามปัจจัยภายนอก เช่น กระแสเงินทุนต่างชาติ และปัจจัยภายในประเทศ เช่น การเมือง อย่างใกล้ชิด
สำหรับการลงทุนระยะสั้น เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น คาดว่าหุ้นมีความผันผวนในทิศทางขาขึ้น เน้นลงทุนในหุ้นที่ป้องกันเงินเฟ้อ ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลใหม่ และติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด
หุ้นแนะนำ
หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ AP, BBL, KBANK, PTTEP, SAT, SCB เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร)
สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ QH, TMB, TRUE เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร)
แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2329, 02-229-2355-6 อีเมล์ jirawan@saa-thai.org
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น